Lifestyle
5 เทคนิคตั้งราคากาแฟให้ได้กำไร ลูกค้าไม่รู้สึกแพง
ทำไมการตั้งราคากาแฟให้เหมาะสมจึงสำคัญ?
การตั้งราคากาแฟไม่ใช่เพียงการบวกต้นทุนกับกำไร แต่เป็นศิลปะที่ผสมผสานระหว่าง การบริหารต้นทุน จิตวิทยาผู้บริโภค และกลยุทธ์ทางการตลาด
หากตั้งราคาสูงเกินไป ลูกค้าอาจลังเลหรือเปลี่ยนใจไปหาร้านอื่น แต่หากตั้งต่ำเกินไป กำไรต่อแก้วจะลดลง และอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงินของร้านในระยะยาว
การตั้งราคาที่เหมาะสมจะช่วยให้ร้านกาแฟอยู่ได้อย่างยั่งยืน ลูกค้าพึงพอใจ และสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่มีผู้เล่นมากมาย

1. คำนวณต้นทุนอย่างแม่นยำ
สิ่งแรกที่เจ้าของร้านกาแฟต้องทำคือ รู้ต้นทุนที่แท้จริงต่อแก้ว เพราะถ้าไม่รู้ คุณอาจกำลังขายกาแฟที่ไม่มีกำไรอยู่ก็เป็นได้
ต้นทุนของกาแฟแต่ละแก้วมีอะไรบ้าง?
- ต้นทุนเมล็ดกาแฟ – คำนวณจากปริมาณเมล็ดกาแฟที่ใช้ต่อแก้ว
- ต้นทุนวัตถุดิบอื่น ๆ – นม, ไซรัป, น้ำตาล, โกโก้ ฯลฯ
- ค่าบรรจุภัณฑ์ – แก้ว, ฝา, หลอด, กระดาษรองแก้ว
- ค่าแรงพนักงาน – คำนวณตามจำนวนแก้วที่ขายได้ต่อวัน
- ค่าใช้จ่ายแฝง – ค่าเช่าร้าน, ค่าไฟ, ค่าน้ำ, ค่าการตลาด
📌 สูตรคำนวณราคาขายกาแฟพื้นฐาน
ตัวอย่าง: (ต้นทุนรวมต่อแก้ว + ค่าใช้จ่ายแฝงเฉลี่ย) x เปอร์เซ็นต์กำไร
ถ้าต้นทุนรวมต่อแก้วคือ 30 บาท และต้องการกำไร 60% ราคาขายที่เหมาะสมคือ: (30 + 10) x 1.6 =64 บาท
2. ใช้จิตวิทยาการตั้งราคา (Psychological Pricing)
จิตวิทยาการตั้งราคาคือ การใช้ตัวเลขเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ โดยเฉพาะราคาที่ลงท้ายด้วย 9 หรือมีการเปรียบเทียบราคาที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่า
- ราคาลงท้ายด้วยเลข 9 หรือ 5 – เช่น 59 บาท แทนที่จะเป็น 60 บาท ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าราคาถูกกว่า
- แพ็คเกจราคาพิเศษ – เช่น “ซื้อ 2 แก้ว ลด 10%” หรือ “เพิ่ม 10 บาท ได้แก้วใหญ่ขึ้น”
- เมนูราคาเปรียบเทียบ – ตั้งราคาสินค้าพรีเมียมให้สูงกว่าราคาปกติ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเลือกปกติมีความคุ้มค่า
📌 ตัวอย่าง:
- เมนูขนาดเล็ก 49 บาท
- เมนูขนาดกลาง 59 บาท ✅ (ลูกค้าส่วนใหญ่เลือก)
- เมนูขนาดใหญ่ 75 บาท
ลูกค้าส่วนใหญ่มักเลือก “ตรงกลาง” เพราะรู้สึกว่าคุ้มค่ากว่าแบบถูก แต่ไม่แพงจนเกินไป
3. วิเคราะห์คู่แข่งและตั้งราคาให้เหมาะสม
การตั้งราคากาแฟต้องคำนึงถึงการแข่งขันในตลาด ลองสำรวจว่าร้านกาแฟในพื้นที่ของคุณตั้งราคายังไง จะช่วยให้คุณไม่ตั้งราคาหลุดจากตลาดมากเกินไป แล้วปรับให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าของคุณ
📌 วิธีวิเคราะห์ราคาในตลาด
- สำรวจราคาของคู่แข่งโดยเฉพาะร้านที่มีลูกค้าเป้าหมายคล้ายกัน
- เปรียบเทียบคุณภาพสินค้า บรรยากาศร้าน และบริการกับของร้านตัวเองเทียบกับคู่แข่ง
- หากร้านของคุณมีจุดเด่น เช่น เมล็ดกาแฟเฉพาะทาง การบริการดีเยี่ยม หรือมี Loyalty Program หรือเมนูพิเศษ ควรสามารถตั้งราคาให้สูงขึ้นได้
4. ตั้งราคาตามคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ (Value-Based Pricing)
บางครั้งลูกค้าไม่ได้จ่ายเพราะ “ต้นทุนของคุณ” แต่จ่ายเพราะ “คุณค่าที่พวกเขาได้รับ” ดังนั้น ควรตั้งราคาโดยคำนึงถึงคุณค่าที่ลูกค้าได้รับมากกว่าต้นทุนเพียงอย่างเดียว
📌 ตัวอย่าง:
- กาแฟที่ใช้เมล็ดพรีเมียมจากฟาร์มเฉพาะทาง อาจตั้งราคาแพงขึ้นได้
- กาแฟที่เสิร์ฟพร้อมประสบการณ์ เช่น Latte Art สวยงาม สามารถเพิ่มราคาได้
- ร้านที่มีบรรยากาศดี ฟรี Wi-Fi และพื้นที่นั่งทำงาน ลูกค้ายินดีจ่ายแพงขึ้น
5. ใช้โปรโมชั่นเพื่อเพิ่มมูลค่าการขาย
การตั้งราคาไม่จำเป็นต้องคงที่เสมอไป คุณสามารถใช้โปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ และกระตุ้นให้ลูกค้าเดิมซื้อซ้ำ
📌 ไอเดียโปรโมชั่นเพิ่มยอดขาย
- “ซื้อกาแฟ 5 แก้ว รับฟรี 1 แก้ว”
- “โปรคู่รัก ซื้อ 2 แก้ว ลด 10%”
- “Happy Hour ลดราคาเฉพาะช่วงเวลา 14.00 – 16.00 น.”
- “เพิ่ม 5 บาท ได้ไซรัปหรือวิปครีมฟรี”
สรุป: เทคนิคตั้งราคากาแฟให้ได้กำไรและลูกค้าพอใจ
✅ คำนวณต้นทุนให้แม่นยำ – ห้ามตั้งราคาสุ่ม ๆ ควรรู้ต้นทุนที่แท้จริง
✅ ใช้จิตวิทยาการตั้งราคา – ตั้งราคาให้ดึงดูดลูกค้าโดยใช้เลข 9, โปรโมชั่น และเมนูเปรียบเทียบ
✅ สำรวจตลาดและคู่แข่ง – ตั้งราคาให้สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับร้านอื่น
✅ เพิ่มมูลค่าให้เมนู – เน้นคุณค่าที่ลูกค้าได้รับมากกว่าต้นทุน
✅ ใช้โปรโมชั่นอย่างฉลาด – กระตุ้นการซื้อซ้ำและสร้างความภักดีของลูกค้า
💡 อย่าลืม! ราคาที่เหมาะสมไม่ใช่แค่ทำให้ร้านมีกำไร แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างร้านกับลูกค้า
หากคุณต้องการอัปเดตเทคนิคเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารร้านกาแฟ ติดตามบทความใหม่ ๆ ได้ที่ Cafe At Home ☕และ Facebook: Cafe At Home

